วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

ให้เพื่อนหาเวบ : ทดสอบดูรูปวับๆแวมๆ - จิตส่งออก (ภาพฉายในจิตทำให้ร้อน)

ในคราวที่เขียนเมล์กราบเรียนหลวงตา ผ่านอินเตอร์เน็ต
----------------------------------------------------------



เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ประชุมธรรมสักที 

ผู้กำกับ ปัญหาทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซค์ของหลวงตาครับ

น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า เกล้ากระผมฝึกปฏิบัติภาวนาเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ หวังพึ่งพาในเวลาติดขัดปัญหา ไม่ได้ประมาทครูอาจารย์รูปใด แต่สุดท้ายก็ลึกซึ้งในใจด้วยธรรมะขององค์หลวงตา ทั้งอุบายธรรมที่แสดงออก คอยจับเงื่อนธรรมะที่มีทั้งอุปมาอุปมัย ใช้สติปัญญาติดตาม ทั้งทันบ้างไม่ทันบ้าง เพราะเกล้ากระผมสติปัญญายังน้อย ธรรมะขององค์หลวงตา ทั้งลีลาทั้งจังหวะและถ้อยคำราบรื่นไม่สะดุด ทำให้ได้รับความดูดดื่มในธรรมะ จิตสงบเย็นลึกซึ้งได้อย่างประหลาด แม้จะเป็นคราวที่ดุเด็ดเผ็ดร้อน ก็ยังรู้สึกฉ่ำเย็น

บางครั้งองค์หลวงตาสอนให้รู้โทษของตนเอง เพราะกิเลส ทำให้สติจดจ่อได้ดี ซาบซึ้งในพระคุณขององค์หลวงตายิ่งนัก ทำให้ระลึกถึงครั้งพุทธกาลที่มีผู้ฟังเทศน์ได้บรรลุมรรคผลขณะน้อมจิตลงฟัง ธรรม เกล้ากระผมได้ฝืนพิจารณาจนผิดทาง คือรู้ว่าจิตไม่กำหนัดยินดีในกาม แต่จิตยินดีในรสอาหาร ก็เลยกำหนดรูปสวยและเปลือยแทนอยู่หลายวัน พอวันที่จะเสื่อมก็ไปดูรูปวับๆ แวมๆ (ขออธิบายเพิ่ม : ในวันที่ไปทำงาน เนื่องจากกามราคะหายไปหลายวัน เลยบอกให้เพื่อนที่ทำงานหาเวบ.. พอดูภาพที่มีผ้าชุดบาง และฝันเห็นร่างสตรีเปลือย แต่มีผ้าชิ้นเล็กๆ ปิดอวัยวะสำคัญ เลยเหมือนภาพแว๊บๆในจิตตลอด เลยกลายเป็นว่าร้อนในจิต ไม่กระเทือนถึงกาย ทำให้ใช้คำบริกรรมพุทโธเร็วๆ ถี่ๆ จนองค์หลวงตา เทศน์ในวันที่ 29 กรกฎกคม 2548 ว่า บางรายทางในครัว เขียนจดหมายเล่าเรื่องภาวนา จะท่องพุทโธๆถี่ยิ๊บ กระจายออกไปเป็นบ้าถี่ยิ๊บ สุดท้ายลงเป็นมหาบ้า เทศน์เสร็จ ท่านก็ซ้ำอีกที ไหน..เจ้าของจดหมายมาหาเรา....จดหมายบ้า อ่านแบบเต็ม ปล่อยมาเข้าถาน ) จนสุดท้ายถูกกิเลสตีต้อนต่อหน้าต่อตาแทบตาย เห็นโทษความผิดของตนเองอย่างที่สุด ทำให้ระลึกถึงคำสอนที่องค์หลวงตาเน้นย้ำเรื่องสติ เลยพยายามตั้งสติใหม่ บางครั้งก็ถูกกิเลสสวนวนเวียนตีเอาซึ่งๆ หน้า แต่ก็พยายามตั้งสติ ทำให้จิตเริ่มดีขึ้นบ้างพอบรรเทา

เกล้ากระผมขอน้อมธรรมะใน องค์หลวงตา ที่แผ่กว้างไพศาลทั่วประเทศไทยโดยทางวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน และธรรมะที่ออกทางอินเตอร์เน็ตทั่วโลก ยิ่งได้ฟังเทศน์ที่องค์หลวงตาสอนพระและธรรมะชุดเตรียมพร้อม ยิ่งทำให้เพิ่มกำลังใจในการปฏิบัติธรรมเพื่อก้าวเดิน แม้จะยังเดินสะเปะสะปะ สมาธิยังไม่มั่นคงพอ ก็พอจะยึดแนวปฏิปทาขององค์หลวงตาตลอดไป

ตอนนี้เกล้ากระผมพยายามตั้งสติและทำสมาธิให้มากขึ้น บางคราวก็พิจารณาอสุภะบ้าง พอจิตจะแย็บปรุงทางกิเลสปั๊บ ไม่ทันให้ปรุงก็พยายามตั้งสติบริกรรมแทน และพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส แบบนี้เกล้ากระผมควรทำอะไรเพิ่มเติมครับ หรือว่าต้องเน้นหนักในอสุภะครับ หากเป็นคนดีไม่ได้ ก็จะขอเป็นหมาน้อยที่มีวินัย ดีกว่าเป็นคนที่สิ้นท่าหมดราคา (ถ้าจะโดนไม้เรียวหวดเพราะทำผิด ก็ยอมรับผิดตลอดไป) เกล้ากระผมผิดพลาดประการใด ขอน้อมกราบขอขมาองค์หลวงตาทุกประการ

จาก...ลูกศิษย์..ผู้ทั้งโง่..ทั้งบ้า..ทั้งเซ่อ

----------------------------

หลวง ตา เราก็ตอบว่า อย่าบ้าอย่าเซ่อ ก็มีเท่านั้นที่ตอบกัน โลกเรากว้างแสนกว้าง มนุษย์เรามีประมาณสักกี่ล้านคน ต่างคนต่างเสาะแสวงหาความสุขๆ ทั่วโลกดินแดน มันน่าจะปรึกษาหารือกันว่า ที่หาความสุขไม่ได้ความสุข มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ผู้ใหญ่ยุ่งใหญ่ ผู้น้อยยุ่งน้อย ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นทุกข์มาก ควรจะประมวลความทุกข์ความกังวลทั้งหลายเหล่านี้เข้ามาสู่อรรถสู่ธรรม เอาธรรมเป็นเครื่องก้าวเดิน ประชุมกันสักทีเป็นไรโลกอันนี้ ไม่เคยมีการประชุมธรรมสักทีนะ มีแต่ประชุมเรื่องกิเลส ประชุมวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ประชุมตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย ประชุมเรื่องกิเลสทั้งนั้น เรื่องประชุมอรรถธรรมเพื่อหาความสุขความสงบเย็นใจ เพื่อเป็นน้ำดับไฟคือกิเลสเหล่านี้ ไม่เห็นปรากฏที่ไหนว่ะ มีตั้งแต่เรื่องกองทุกข์

แล้วต่างคนต่างชมเชยสรรเสริญอยู่ใน หัวใจลึกๆ นั่นแหละ ไม่ออกปากพูดก็ตาม มันความพอใจ ความดูดดื่มในสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลาย แล้วก็โกยไฟเข้ามาเผาตัวเองๆ อย่างนี้มีอยู่ทั่วโลก มันน่าจะปรึกษาหารือกันบ้างโลกทั้งโลก กว้างแสนกว้างนะ เอาศาสนามากางดูว่าศาสนาใด เป็นศาสนาที่จะทำความสงบร่มเย็นให้แก่กันและกันแล้วยกศาสนานั้นขึ้น น้อมใจเข้าไปปฏิบัติตามศาสนานั้น แล้วโลกนี้จะปรากฏเป็นความสุขความสงบเย็นใจขึ้นมา การเบียดเบียนทำลายกัน การเป็นบ้าอำนาจ บ้าโลภ เหล่านี้ก็จะค่อยเบาลงๆ

เพราะพิจารณา ในธรรมทั้งหลายแล้วยุติกันลงที่ตาย ในโลกนี้ตายด้วยกันทั้งนั้น จะดิ้นไปหาอะไรนักหนา มันตายด้วยกัน เวลาที่ยังไม่ตายควรจะดีดดิ้นหาความสุขความเจริญด้วยอรรถด้วยธรรมบ้าง พอจะเป็นขื่อเป็นแปเกาะต่อไป แต่นี้มันไม่มี ไปที่ไหนไม่มี เราพูดจริงๆ พิจารณามันทั่วโลกนี่หัวใจดวงนี้น่ะ ที่มาพูดเหล่านี้พิจารณาหมดแล้วนอกจากไม่พูดเฉยๆ มากต่อมากเต็มหัวใจอยู่นี้ เรามาพูดได้เฉพาะเท่าที่พอเข้าใจๆ เท่านั้น ที่ไม่เข้าใจ สุดวิสัย ปลงธรรมสังเวชมีเยอะในหัวใจนี้ พิจารณาออกไปนะ โลกยังเป็นบ้ากันอยู่อย่างนี้จะว่าไง

ถ้าโลกไม่หันหน้าเข้า ธรรมจะไม่มีความหวังเรื่องความเจริญ มีแต่ความเสื่อมโทรม มีแต่ความทุกข์ทรมานทวีรุนแรงขึ้น มากขึ้นๆ การวิ่งตามกิเลสใครอย่าหวังว่าจะมีความสุขความเจริญ ความโลภนำความสุขมาให้ใครที่ไหนไม่มี ความโกรธ ราคะตัณหาเหมือนกัน พาดีดพาดิ้นทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนไม่มีเวลาหยุดเลย การยับยั้งสิ่งเหล่านี้ด้วยธรรมเป็นของดี

มันไม่มีนะเดี๋ยว นี้ธรรม ในโลกนี่แทบจะไม่ปรากฏแล้วนะธรรม มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลา ธรรมไม่ค่อยปรากฏ นี่ที่น่าสลดสังเวช นี่พิจารณาตลอดนะ กลางคืนอย่างนี้ยิ่งพิจารณาละเอียดลออมากเชียว พูดให้ชัดเจน พิจารณาเรื่องโลกธาตุนี่ พิจารณารอบไปหมดเลย พิจารณาคนเดียวจะว่าบ้าก็บ้าคนเดียวอยู่งั้นละ เก็บไว้เรียบๆ ในลิ้นชักไม่ดีดไม่ดิ้นนะ รู้ไปๆ ผ่านไปๆ ไม่หนักหน่วงถ่วงใจนะ พิจารณาโลกเป็นอย่างนั้น

ก็ลงมาปลงธรรมสังเวช ถ้าโลกไม่หันหน้าเข้าธรรมบ้างแล้วความสุขจะไม่มีเลย มีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานต่อไป ทวีรุนแรงมากขึ้น เพราะกิเลสเป็นเครื่องเสริมทุกข์ให้มากไม่ใช่ลดทุกข์นะ ธรรมเป็นเครื่องลดทุกข์ลงมาเป็นน้ำดับไฟ มันจะเปลวสูงจรดเมฆก็ตาม น้ำสาดลงไปแล้วมันก็ยุบลงไป ถ้ามีธรรมสาดเข้าบ้าง นี้ไม่มีนะ ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย ประเทศใหญ่ประเทศน้อย มันใหญ่ด้วยกิเลสตัณหาทั้งนั้น มีแต่เบียดเบียนกันทำลายกัน ใครจะได้ท่าไหนเอาท่านั้นๆ ท่าของกิเลสมันจะได้ไปไหน มันก็เอากองทุกข์มาถมหัวเจ้าของผู้ว่าจะได้สุขนั่นแหละ ด้วยความโลภทั้งหลาย ด้วยอำนาจบ้าๆ ป่าๆ เถื่อนๆ นั่น มันไม่มีอย่าไปหา หาเท่าไรก็ยิ่งเป็นทุกข์ไปเท่านั้น ถ้าหาธรรมละมีการยับยั้งนะ นี่มันไม่หาโดยธรรม

เรานี้สลดสังเวชจริงๆ นะ เพียงหัวใจดวงเดียวมันพิจารณารอบโลกธาตุนู่น ว่าให้มันชัดเจนอย่างนี้นะ ไม่พูดเฉยๆ เวลาพูดจึงพูดออกมานี่ ของเล่นเมื่อไรใจนี่ ขอให้เปิดกิเลสออกเถอะมันจะจ้าของมันไปหมดนั่นแหละ กิเลสเท่านั้นปิดบังหุ้มห่อสัตว์โลก ตามีร้อยตาไม่มีความหมายใจบอดเสียอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าใจสว่างจ้าตาบอดก็อย่างพระจักขุบาลเห็นไหมล่ะ ท่านจ้าอยู่ตลอดเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา จักขุบาลตาบอด ท่านตั้งสัจจะจะไม่นอนสามเดือน ตาท่านพิการ หมอเขามารักษาบอกว่า ท่านต้องนอนหยอดยา ไม่นอนท่านว่า เพราะได้ตั้งสัจจอธิษฐานไว้แล้วไม่นอน ตาจะบอด เอา บอดก็บอดท่านว่างั้น สุดท้ายตาก็บอดหัวใจก็จ้าขึ้นมา นั่นเห็นไหมล่ะ

หัวใจจ้าเสีย อย่างเดียว ตาจะบอดก็บอดไปเถอะ หัวใจไม่บอดไม่เป็นไร จ้าอยู่นั้นละ อันนี้มีตั้งแต่ใจบอดทั้งนั้นพวกเรา พวกใจบอด โลกๆใจบอด ตาบอดก็คือตาใจนั่น กว้านเข้ามาว่าหาความสุขใส่ตนเองๆ ไม่เห็นมีใครมีความสุขในโลกอันนี้ พระพุทธเจ้ากว้านความสุขมาสู่ตัวเอง จนกระทั่งโลกได้รับความสุขมาก หาด้วยเหตุผลกลไกอะไร ท่านหาด้วยธรรมนะ ท่านไม่หาด้วยกิเลส หาด้วยกิเลสหาเท่าไรยิ่งพอกพูนความทุกข์ขึ้นมามากมายก่ายกอง ถ้าหาด้วยธรรมแล้วจะมีความสุขความเจริญ ให้พากันคิดบ้างซิ

วัน หนึ่งๆ คิดทางดีทางชั่ว บวก ลบ คูณ หาร กันบ้างคนเรา ไม่งั้นจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว จะตายไปจมๆ ละ เกิดก็เกิดจมๆ ตายจมๆ ตลอดไป หาความสุขฟื้นฟูขึ้นมาไม่มีแหละ มันจะมีแต่ความทุกข์ความทรมาน ไปโลกไหนก็โลกหัวใจดวงสกปรกนี้ มันก็เอากองทุกข์ไปเผาตลอด โลกไหนก็ไป ภพใดก็ไป ถ้าลงกิเลสตัณหาพาสร้างความทุกข์เข้าสู่หัวใจมีอยู่ ไปโลกไหนก็จมทั้งนั้นแหละ เราอย่าหวังโลกนั้นโลกนี้ ถ้าไม่ปรับปรุงใจให้ดี ถ้าปรับปรุงใจให้ดีโลกไหนก็โลกเถอะ ใจนี้ละเป็นตัวจะพาไป สว่างกระจ่างแจ้งคือใจนี้

นี่ก็วันที่ ๑๐ แล้ว วันที่ ๑๑–๑๒ ยุ่งใหญ่ละ ไม่ใช่เล่นๆ นะ จะยุ่งใหญ่มากทีเดียว เราไม่พูดอะไรมากนะ พูดทุกวันๆ เหนื่อย ไปที่ไหนไม่อยากพบคน ฟังซิน่ะ มันเป็นอะไรถึงเป็นอย่างนั้น ไปที่ไหนไม่อยากพบคน ปิดม่าน ไปรถไม่ให้ใครเห็นนะ ปิดม่าน สั่งงานสั่งการอะไรสั่งออกไปๆ จะเอาอะไรๆ แต่ไม่ให้ใครเห็นแหละ ไปไหนไม่เห็น แม้แต่เอาของไปส่งโรงพยาบาลก็ไม่ลง ไม่ลงรถ เขารุมมาก็รุมมาแล้ว ข้อยเบื่อคนพอแล้วว่างั้น บอกตรงๆ อย่างนี้ละ อย่าให้พูดเถอะเบื่อ มันเบื่อจริงๆ นี่นะ ถึงวาระพูดก็พูดเฉยๆ ไม่ได้พูดด้วยความที่ว่าหนักหน่วงในใจ แต่ก็จำเป็นต้องพูดอยู่นั่นแหละจะว่าไง ใครก็หาความสุขๆ เราก็บืนไปยังงั้นแหละ ไปที่ไหนทุกข์ลำบาก

ให้พากันตั้งใจใส่ ศีลใส่ธรรม ในพรรษาใครมีข้ออรรถข้อธรรม ให้เป็นสัจจะความจริงประจำใจไหมปีหนึ่งๆ เข้าพรรษามาได้กี่วันกี่เดือนแล้ว เกิดมากี่ปีแล้ว เข้าพรรษาสามเดือนจะตั้งสัจจอธิษฐานหาความสัตย์ความจริงใส่ตัวเองไม่ได้บ้าง เหรอ มันเป็นยังไงถามเจ้าของบ้างซิ ไปหาถามคนอื่นดูตั้งแต่คนอื่น ไม่ดูตัวเองมันจะรู้เรื่องอะไร เรื่องมันเกิดกับตัวเอง ไปยกโทษเขาก็เกิดกับตัวเองละเรื่อง ให้ดูตัวเองนี้มันไม่ยก พอมันปรุงขึ้นพับดับพร้อมเลยๆ ไม่มีอะไรไปปรุง ตัวข้าศึกศัตรูมันอยู่ที่ใจเรา ใจพาปรุง ถ้ารู้เท่าทันมันแล้วมันไม่เกิดละ ไปที่ไหนสบายๆ เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ จะให้พร

ไม่มีความคิดเห็น :

แสดงความคิดเห็น

โปรดแสดงความคิดเห็นด้วยเมตตาธรรม

บทความที่ได้รับความนิยม