วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

รองเท้าของพ่อแม่ครูอาจารย์..สอนธรรม


พูดถึงมานะ ๙ ...(ย่อ ๆ : ถือเขาถือเรา..ว่า เด่นกว่า, เสมอ หรือด้อยกว่า)

ทำให้ย้อนระลึกไปเมื่อประมาณกลางเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๘ ณ กุฏิกลางน้ำ สวนแสงธรรม พุทธมณฑลสาย ๓ หลังจากที่องค์หลวงตาแสดงธรรมเสร็จแล้ว ..

ลูก ศิษย์ทั้งหลายและชาวประชา ทยอยลงบันไดไป แต่มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง ก้มลงกราบรองเท้าคู่หนึ่งของหลวงตา จิตมันแว๊บ ขึ้นมาทันทีว่า "ประสารองเท้า ทำไมต้องกราบด้วย" (ประสา เป็นคำอีสาน หมายถึง แค่เพียง, เพียงแค่) อีกจิตหนึ่งเตือนมาว่า "นี่รองเท้าของพ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านก็เป็นธรรมทั้งองค์ ไม่ว่าอะไรที่เกี่ยวกับองค์ท่าน ก็สมควรกราบได้หมด อย่าว่าแต่รองเท้าเลย แม้ผ้าเช็ดเท้า หากมันจะสอนให้เรามีสติปัญญา ก็สมควรกราบ"

เคยนึกแต่ว่า จิตตัว "มานะ" มันจะถือเฉพาะเกี่ยวกับคน จึงเตือนจิตเสมอว่า เราจะไม่ไปเย่อหยิ่ง มีมานะใดๆกับครูบาอาจารย์ แต่เราหารู้ไม่ว่า สิ่งอะไรก็ตาม ที่ใจล้วนไปถือ ก็จัดเป็นมานะได้ทั้งนั้น

ยังดี..ที่เรายัง คิดทันในจังหวะที่จิตหนึ่งค้าน อีกจิตหนึ่งเตือนทันที ทำให้อดมองเห็นสติปัญญาที่เพียรสั่งสมอบรมมา สามารถแก้กันได้ทันท่วงที..ไม่ยอมจมไปกับเจ้าตัวใจอันแฝงด้วยมานะ อวิชชา ที่เหยียบย่ำหัวใจให้เราเป็นผู้พ่ายแพ้เสมอมา
---------------------------------------------------------------------
อัตตะนา โจทะยัตตานัง ปฏิมังเสตะมัตตะนา
จงเตือนตนด้วยตนเอง จงพิจารณา(บอกสอน)ตนนี้ด้วยตน

---------------------------------------------------------------------


เห็นรูปนี้ ทำให้ระลึกนึกถึงคราวที่ยังไม่บวชได้เดินทางร่วมขบวนไปกับทีมงานขององค์หลวง ตา ไปทอดกฐินที่วัดชัยมงคล อ.บ้านแพง จ.นครพนม เมื่อวันที่ ๑๒ พย.๔๘ โดยอาศัยนั่งในรถไปกับทีมงานถ่ายทอดสด

ในระหว่างทาง มีการจอดรถ แล้วงงว่าจอดทำไม เห็นมีรถกระบะฝั่งตรงข้าม ซึ่งดูไม่เห็นมีอะไร

แต่ที่ไหนได้ มีคนเดินไปยังรถคันนั้น ...กลายเป็นเหมาแตงโม (เราอยู่ในรถ มองไม่เห็น เพราะรถที่จอดไม่มีลักษณะบ่งบอกว่าจะขายอะไร)

ทราบว่า หลวงตาให้ช่วยเขา โดยเหมาแตงโม..สงเคราะห์ชาวบ้าน ผัวเมียคู่หนึ่ง ที่มีลูกนอนอยู่ในเปล ถ้ามองฝั่งตรงข้าม ก็มองเห็นแค่แม่ไกวเปลลูกน้อย ได้ลงจากรถ..มาสังเกตุการณ์ :)

ไปถึงวัดฟังธรรมหลวงตา..รู้ แต่ว่าปลื้ม ได้เดินจงกรมร่วม ๒ ชั่วโมง จนฝนตกหนักคืนนั้น เลยไปหลบในโบสถ์ พอฝนหยุดลงมา เอ้ารองเท้าแตะสีเขียวลอยน้ำไปไหน จนต้องตามเก็บ

คืนนั้นนอนประมาณ ๕ ทุ่มกว่า มีเพียงผ้าห่ม ๑ ผืน และหมอน ยุงก็เยอะ รู้สึกตัวตื่นตอนตี ๑ กว่า เลยลุกนั่งภาวนาต่อ เอาผ้าห่มคลุมตั้งแต่หัวลงมา แล้วฝนก็ตกหนักฟ้าร้องคำรามทั้งผ่าดังเปรี้ยงปร้างสนั่นหวั่นไหว ..จิตก็ปรารภเพลินๆ ออกจากนั่งราวตี ๔ ปวดฉี่ ไปเข้าห้องน้ำ เห็นพวกผู้เฒ่าผู้แก่กำลังปิ้งข้าวหลาม (ลืมบอกไป หัวค่ำ ก็เอาเมล็ดทานตะวันที่ซื้อมา..แจกให้หมด เหลือเพียง ๒ ห่อ..เพราะหลวงตาสอนเรื่องการให้เฉลี่ยแบ่งปัน เลยติดนิสัย..มีไม่ได้ เป็นแจก)

เข้าห้องน้ำทั้งที่ฝนเริ่มเบาบ้าง สักพักหนึ่ง ไฟฟ้าในห้องน้ำดับพรึบ..นึกว่าใครมากดสวิทช์ปิด เลยทำกระแอม ต้องรีบทำธุระเบาๆให้เสร็จแล้วออกมาโดยทันที อย่างน้อย น่าจะเห็นคนบ้าง เอ้าสวิทช์ก็เปิดอยู่นี่ ไฟทั่วไปก็ติด

งงเลย ไฟดับเฉพาะห้องที่เราใช้อยู่คนเดียว เลยปิดสวิทช์ แล้วเดินไม่ถึง ๕ เมตร ไฟฟ้าก็ดับทั้งวัด น้ำก็เจิ่งนองท่วมวัด

พอสายมา ไฟฟ้าก็ยังไม่มา ได้เวลาหลวงตาจะเทศน์ทั้งที่ท่านฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ในภาพที่เห็น สงสัยองค์ท่านจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วมาใหม่เพื่อจะเทศน์ ไฟฟ้าก็ไม่มีวี่แววว่าจะมา

จนท่านเริ่มจะเทศน์ นึกในใจ(ตั้งแต่ปรารภไว้) เอาล่ะ ถวายหมดกระเป๋าล่ะ (มีเท่าไหร่ในกระเป๋าควักออกมาให้หมด) ไฟฟ้าก็ทำท่าจะติด จนคนเฮดีใจ ..แต่ที่ไหนได้ แค่สป๊าร์คหน่อยเดียว ดับพรึบเหมือนเดิม ก็นำปัจจัยไปถวายองค์ท่าน ..ฟังเทศน์ก็ไม่รู้เรื่อง ฝนก็พรำๆ เสียงคุยกันก็ดัง สรุปท่านก็พูดไม่นาน

กลับจากนครพนม ฝนพรำๆตลอดทาง กลับถึงวัด ก็ยังพรำๆ ตนเอง เลยเข้าทางจงกรมต่อ (๑๓ พย.๔๘) เดินร่วม ๒ ชม.จนเพลินทางจิต แต่เหมือนเหนื่อยในอก เอ๊ เราเป็นอะไร

ก็เริ่มสังเกตร่างกาย (หัวใจ) มาตั้งแต่นั้น คืออยากเดินต่อ แต่ร่างกายเหมือนเตือนว่าไม่ไหว (ไม่เหมือนคืนที่เดินจงกรม ๕ ชั่วโมงกว่าแบบสบายๆ มีเหนื่อยบ้าง ที่วัดป่าเชิงเลน วันที่ ๒๒ กค.๔๘ ยังไม่พบอาการเหนื่อยอ่อนในอก คืนที่วัดป่าเชิงเลนนั้น ต้องไปร่วมสวดมนต์กับเจ้าอาวาส และท่านสอนธรรม แต่จิตกังวลอยากฟังเทศน์หลวงตา พอท่านพระอาจารย์สอนจบกราบพระ ประมาณ ๒ ทุ่มกว่า รีบผละมาคว้าเอ็มพี ๓ เปิดวิทยุคลื่น ๑๐๓.๒๕ นั่งภาวนาฟัง ยังได้ฟังท้ายๆ จิตก็ยังปลื้ม แล้วนั่งภาวนาต่อจนถึงประมาณเที่ยงคืนกว่า ออกมาเดินจงกรมพิจารณาสุภะและอสุภะสลับกัน จนเกือบสว่าง ขณะเดินพิจารณา ปรากฎเห็นร่างคนที่รู้ว่าเป็นผู้หญิงเพราะผมยาวมีแต่หนังหุ้มกระดูก กึ่งนั่งกึ่งนอนเอนพิงผนังด้านหน้าวัดฝั่งซ้าย ..เช้ามาได้ฟังเทศน์ท่าน และจดจำกัณฑ์เทศน์นั้นว่า "วิธีภาวนา" http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3490&CatID=3 ดุจได้รับความเมตตาเป็นพิเศษจากองค์ท่าน)

เห็นรูป เลยนึกถึง..นำมาเล่าสู่ฟัง และนั่นเป็นครั้งสุดท้าย ที่ได้ตามรถขบวนไป เพราะมีพระ..สั่งห้ามไม่ให้..ร่วมเดินทางไป เหตุที่สั่งห้าม คือพระเลขาไม่อยากให้เข้าใกล้หลวงตา เพราะถ้าเข้าหา หลวงตาดุอย่างหนัก ชนิดที่พวกตชด.ต้องมานำตนออกไปบ่อยๆ

ให้เพื่อนหาเวบ : ทดสอบดูรูปวับๆแวมๆ - จิตส่งออก (ภาพฉายในจิตทำให้ร้อน)

ในคราวที่เขียนเมล์กราบเรียนหลวงตา ผ่านอินเตอร์เน็ต
----------------------------------------------------------



เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ประชุมธรรมสักที 

ผู้กำกับ ปัญหาทางอินเตอร์เน็ตจากเว็บไซค์ของหลวงตาครับ

น้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า เกล้ากระผมฝึกปฏิบัติภาวนาเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ หวังพึ่งพาในเวลาติดขัดปัญหา ไม่ได้ประมาทครูอาจารย์รูปใด แต่สุดท้ายก็ลึกซึ้งในใจด้วยธรรมะขององค์หลวงตา ทั้งอุบายธรรมที่แสดงออก คอยจับเงื่อนธรรมะที่มีทั้งอุปมาอุปมัย ใช้สติปัญญาติดตาม ทั้งทันบ้างไม่ทันบ้าง เพราะเกล้ากระผมสติปัญญายังน้อย ธรรมะขององค์หลวงตา ทั้งลีลาทั้งจังหวะและถ้อยคำราบรื่นไม่สะดุด ทำให้ได้รับความดูดดื่มในธรรมะ จิตสงบเย็นลึกซึ้งได้อย่างประหลาด แม้จะเป็นคราวที่ดุเด็ดเผ็ดร้อน ก็ยังรู้สึกฉ่ำเย็น

บางครั้งองค์หลวงตาสอนให้รู้โทษของตนเอง เพราะกิเลส ทำให้สติจดจ่อได้ดี ซาบซึ้งในพระคุณขององค์หลวงตายิ่งนัก ทำให้ระลึกถึงครั้งพุทธกาลที่มีผู้ฟังเทศน์ได้บรรลุมรรคผลขณะน้อมจิตลงฟัง ธรรม เกล้ากระผมได้ฝืนพิจารณาจนผิดทาง คือรู้ว่าจิตไม่กำหนัดยินดีในกาม แต่จิตยินดีในรสอาหาร ก็เลยกำหนดรูปสวยและเปลือยแทนอยู่หลายวัน พอวันที่จะเสื่อมก็ไปดูรูปวับๆ แวมๆ (ขออธิบายเพิ่ม : ในวันที่ไปทำงาน เนื่องจากกามราคะหายไปหลายวัน เลยบอกให้เพื่อนที่ทำงานหาเวบ.. พอดูภาพที่มีผ้าชุดบาง และฝันเห็นร่างสตรีเปลือย แต่มีผ้าชิ้นเล็กๆ ปิดอวัยวะสำคัญ เลยเหมือนภาพแว๊บๆในจิตตลอด เลยกลายเป็นว่าร้อนในจิต ไม่กระเทือนถึงกาย ทำให้ใช้คำบริกรรมพุทโธเร็วๆ ถี่ๆ จนองค์หลวงตา เทศน์ในวันที่ 29 กรกฎกคม 2548 ว่า บางรายทางในครัว เขียนจดหมายเล่าเรื่องภาวนา จะท่องพุทโธๆถี่ยิ๊บ กระจายออกไปเป็นบ้าถี่ยิ๊บ สุดท้ายลงเป็นมหาบ้า เทศน์เสร็จ ท่านก็ซ้ำอีกที ไหน..เจ้าของจดหมายมาหาเรา....จดหมายบ้า อ่านแบบเต็ม ปล่อยมาเข้าถาน ) จนสุดท้ายถูกกิเลสตีต้อนต่อหน้าต่อตาแทบตาย เห็นโทษความผิดของตนเองอย่างที่สุด ทำให้ระลึกถึงคำสอนที่องค์หลวงตาเน้นย้ำเรื่องสติ เลยพยายามตั้งสติใหม่ บางครั้งก็ถูกกิเลสสวนวนเวียนตีเอาซึ่งๆ หน้า แต่ก็พยายามตั้งสติ ทำให้จิตเริ่มดีขึ้นบ้างพอบรรเทา

เกล้ากระผมขอน้อมธรรมะใน องค์หลวงตา ที่แผ่กว้างไพศาลทั่วประเทศไทยโดยทางวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน และธรรมะที่ออกทางอินเตอร์เน็ตทั่วโลก ยิ่งได้ฟังเทศน์ที่องค์หลวงตาสอนพระและธรรมะชุดเตรียมพร้อม ยิ่งทำให้เพิ่มกำลังใจในการปฏิบัติธรรมเพื่อก้าวเดิน แม้จะยังเดินสะเปะสะปะ สมาธิยังไม่มั่นคงพอ ก็พอจะยึดแนวปฏิปทาขององค์หลวงตาตลอดไป

ตอนนี้เกล้ากระผมพยายามตั้งสติและทำสมาธิให้มากขึ้น บางคราวก็พิจารณาอสุภะบ้าง พอจิตจะแย็บปรุงทางกิเลสปั๊บ ไม่ทันให้ปรุงก็พยายามตั้งสติบริกรรมแทน และพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดกิเลส แบบนี้เกล้ากระผมควรทำอะไรเพิ่มเติมครับ หรือว่าต้องเน้นหนักในอสุภะครับ หากเป็นคนดีไม่ได้ ก็จะขอเป็นหมาน้อยที่มีวินัย ดีกว่าเป็นคนที่สิ้นท่าหมดราคา (ถ้าจะโดนไม้เรียวหวดเพราะทำผิด ก็ยอมรับผิดตลอดไป) เกล้ากระผมผิดพลาดประการใด ขอน้อมกราบขอขมาองค์หลวงตาทุกประการ

จาก...ลูกศิษย์..ผู้ทั้งโง่..ทั้งบ้า..ทั้งเซ่อ

----------------------------

หลวง ตา เราก็ตอบว่า อย่าบ้าอย่าเซ่อ ก็มีเท่านั้นที่ตอบกัน โลกเรากว้างแสนกว้าง มนุษย์เรามีประมาณสักกี่ล้านคน ต่างคนต่างเสาะแสวงหาความสุขๆ ทั่วโลกดินแดน มันน่าจะปรึกษาหารือกันว่า ที่หาความสุขไม่ได้ความสุข มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ผู้ใหญ่ยุ่งใหญ่ ผู้น้อยยุ่งน้อย ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นทุกข์มาก ควรจะประมวลความทุกข์ความกังวลทั้งหลายเหล่านี้เข้ามาสู่อรรถสู่ธรรม เอาธรรมเป็นเครื่องก้าวเดิน ประชุมกันสักทีเป็นไรโลกอันนี้ ไม่เคยมีการประชุมธรรมสักทีนะ มีแต่ประชุมเรื่องกิเลส ประชุมวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ประชุมตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย ประชุมเรื่องกิเลสทั้งนั้น เรื่องประชุมอรรถธรรมเพื่อหาความสุขความสงบเย็นใจ เพื่อเป็นน้ำดับไฟคือกิเลสเหล่านี้ ไม่เห็นปรากฏที่ไหนว่ะ มีตั้งแต่เรื่องกองทุกข์

แล้วต่างคนต่างชมเชยสรรเสริญอยู่ใน หัวใจลึกๆ นั่นแหละ ไม่ออกปากพูดก็ตาม มันความพอใจ ความดูดดื่มในสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลาย แล้วก็โกยไฟเข้ามาเผาตัวเองๆ อย่างนี้มีอยู่ทั่วโลก มันน่าจะปรึกษาหารือกันบ้างโลกทั้งโลก กว้างแสนกว้างนะ เอาศาสนามากางดูว่าศาสนาใด เป็นศาสนาที่จะทำความสงบร่มเย็นให้แก่กันและกันแล้วยกศาสนานั้นขึ้น น้อมใจเข้าไปปฏิบัติตามศาสนานั้น แล้วโลกนี้จะปรากฏเป็นความสุขความสงบเย็นใจขึ้นมา การเบียดเบียนทำลายกัน การเป็นบ้าอำนาจ บ้าโลภ เหล่านี้ก็จะค่อยเบาลงๆ

เพราะพิจารณา ในธรรมทั้งหลายแล้วยุติกันลงที่ตาย ในโลกนี้ตายด้วยกันทั้งนั้น จะดิ้นไปหาอะไรนักหนา มันตายด้วยกัน เวลาที่ยังไม่ตายควรจะดีดดิ้นหาความสุขความเจริญด้วยอรรถด้วยธรรมบ้าง พอจะเป็นขื่อเป็นแปเกาะต่อไป แต่นี้มันไม่มี ไปที่ไหนไม่มี เราพูดจริงๆ พิจารณามันทั่วโลกนี่หัวใจดวงนี้น่ะ ที่มาพูดเหล่านี้พิจารณาหมดแล้วนอกจากไม่พูดเฉยๆ มากต่อมากเต็มหัวใจอยู่นี้ เรามาพูดได้เฉพาะเท่าที่พอเข้าใจๆ เท่านั้น ที่ไม่เข้าใจ สุดวิสัย ปลงธรรมสังเวชมีเยอะในหัวใจนี้ พิจารณาออกไปนะ โลกยังเป็นบ้ากันอยู่อย่างนี้จะว่าไง

ถ้าโลกไม่หันหน้าเข้า ธรรมจะไม่มีความหวังเรื่องความเจริญ มีแต่ความเสื่อมโทรม มีแต่ความทุกข์ทรมานทวีรุนแรงขึ้น มากขึ้นๆ การวิ่งตามกิเลสใครอย่าหวังว่าจะมีความสุขความเจริญ ความโลภนำความสุขมาให้ใครที่ไหนไม่มี ความโกรธ ราคะตัณหาเหมือนกัน พาดีดพาดิ้นทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอนไม่มีเวลาหยุดเลย การยับยั้งสิ่งเหล่านี้ด้วยธรรมเป็นของดี

มันไม่มีนะเดี๋ยว นี้ธรรม ในโลกนี่แทบจะไม่ปรากฏแล้วนะธรรม มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายตลอดเวลา ธรรมไม่ค่อยปรากฏ นี่ที่น่าสลดสังเวช นี่พิจารณาตลอดนะ กลางคืนอย่างนี้ยิ่งพิจารณาละเอียดลออมากเชียว พูดให้ชัดเจน พิจารณาเรื่องโลกธาตุนี่ พิจารณารอบไปหมดเลย พิจารณาคนเดียวจะว่าบ้าก็บ้าคนเดียวอยู่งั้นละ เก็บไว้เรียบๆ ในลิ้นชักไม่ดีดไม่ดิ้นนะ รู้ไปๆ ผ่านไปๆ ไม่หนักหน่วงถ่วงใจนะ พิจารณาโลกเป็นอย่างนั้น

ก็ลงมาปลงธรรมสังเวช ถ้าโลกไม่หันหน้าเข้าธรรมบ้างแล้วความสุขจะไม่มีเลย มีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานต่อไป ทวีรุนแรงมากขึ้น เพราะกิเลสเป็นเครื่องเสริมทุกข์ให้มากไม่ใช่ลดทุกข์นะ ธรรมเป็นเครื่องลดทุกข์ลงมาเป็นน้ำดับไฟ มันจะเปลวสูงจรดเมฆก็ตาม น้ำสาดลงไปแล้วมันก็ยุบลงไป ถ้ามีธรรมสาดเข้าบ้าง นี้ไม่มีนะ ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย ประเทศใหญ่ประเทศน้อย มันใหญ่ด้วยกิเลสตัณหาทั้งนั้น มีแต่เบียดเบียนกันทำลายกัน ใครจะได้ท่าไหนเอาท่านั้นๆ ท่าของกิเลสมันจะได้ไปไหน มันก็เอากองทุกข์มาถมหัวเจ้าของผู้ว่าจะได้สุขนั่นแหละ ด้วยความโลภทั้งหลาย ด้วยอำนาจบ้าๆ ป่าๆ เถื่อนๆ นั่น มันไม่มีอย่าไปหา หาเท่าไรก็ยิ่งเป็นทุกข์ไปเท่านั้น ถ้าหาธรรมละมีการยับยั้งนะ นี่มันไม่หาโดยธรรม

เรานี้สลดสังเวชจริงๆ นะ เพียงหัวใจดวงเดียวมันพิจารณารอบโลกธาตุนู่น ว่าให้มันชัดเจนอย่างนี้นะ ไม่พูดเฉยๆ เวลาพูดจึงพูดออกมานี่ ของเล่นเมื่อไรใจนี่ ขอให้เปิดกิเลสออกเถอะมันจะจ้าของมันไปหมดนั่นแหละ กิเลสเท่านั้นปิดบังหุ้มห่อสัตว์โลก ตามีร้อยตาไม่มีความหมายใจบอดเสียอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าใจสว่างจ้าตาบอดก็อย่างพระจักขุบาลเห็นไหมล่ะ ท่านจ้าอยู่ตลอดเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา จักขุบาลตาบอด ท่านตั้งสัจจะจะไม่นอนสามเดือน ตาท่านพิการ หมอเขามารักษาบอกว่า ท่านต้องนอนหยอดยา ไม่นอนท่านว่า เพราะได้ตั้งสัจจอธิษฐานไว้แล้วไม่นอน ตาจะบอด เอา บอดก็บอดท่านว่างั้น สุดท้ายตาก็บอดหัวใจก็จ้าขึ้นมา นั่นเห็นไหมล่ะ

หัวใจจ้าเสีย อย่างเดียว ตาจะบอดก็บอดไปเถอะ หัวใจไม่บอดไม่เป็นไร จ้าอยู่นั้นละ อันนี้มีตั้งแต่ใจบอดทั้งนั้นพวกเรา พวกใจบอด โลกๆใจบอด ตาบอดก็คือตาใจนั่น กว้านเข้ามาว่าหาความสุขใส่ตนเองๆ ไม่เห็นมีใครมีความสุขในโลกอันนี้ พระพุทธเจ้ากว้านความสุขมาสู่ตัวเอง จนกระทั่งโลกได้รับความสุขมาก หาด้วยเหตุผลกลไกอะไร ท่านหาด้วยธรรมนะ ท่านไม่หาด้วยกิเลส หาด้วยกิเลสหาเท่าไรยิ่งพอกพูนความทุกข์ขึ้นมามากมายก่ายกอง ถ้าหาด้วยธรรมแล้วจะมีความสุขความเจริญ ให้พากันคิดบ้างซิ

วัน หนึ่งๆ คิดทางดีทางชั่ว บวก ลบ คูณ หาร กันบ้างคนเรา ไม่งั้นจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว จะตายไปจมๆ ละ เกิดก็เกิดจมๆ ตายจมๆ ตลอดไป หาความสุขฟื้นฟูขึ้นมาไม่มีแหละ มันจะมีแต่ความทุกข์ความทรมาน ไปโลกไหนก็โลกหัวใจดวงสกปรกนี้ มันก็เอากองทุกข์ไปเผาตลอด โลกไหนก็ไป ภพใดก็ไป ถ้าลงกิเลสตัณหาพาสร้างความทุกข์เข้าสู่หัวใจมีอยู่ ไปโลกไหนก็จมทั้งนั้นแหละ เราอย่าหวังโลกนั้นโลกนี้ ถ้าไม่ปรับปรุงใจให้ดี ถ้าปรับปรุงใจให้ดีโลกไหนก็โลกเถอะ ใจนี้ละเป็นตัวจะพาไป สว่างกระจ่างแจ้งคือใจนี้

นี่ก็วันที่ ๑๐ แล้ว วันที่ ๑๑–๑๒ ยุ่งใหญ่ละ ไม่ใช่เล่นๆ นะ จะยุ่งใหญ่มากทีเดียว เราไม่พูดอะไรมากนะ พูดทุกวันๆ เหนื่อย ไปที่ไหนไม่อยากพบคน ฟังซิน่ะ มันเป็นอะไรถึงเป็นอย่างนั้น ไปที่ไหนไม่อยากพบคน ปิดม่าน ไปรถไม่ให้ใครเห็นนะ ปิดม่าน สั่งงานสั่งการอะไรสั่งออกไปๆ จะเอาอะไรๆ แต่ไม่ให้ใครเห็นแหละ ไปไหนไม่เห็น แม้แต่เอาของไปส่งโรงพยาบาลก็ไม่ลง ไม่ลงรถ เขารุมมาก็รุมมาแล้ว ข้อยเบื่อคนพอแล้วว่างั้น บอกตรงๆ อย่างนี้ละ อย่าให้พูดเถอะเบื่อ มันเบื่อจริงๆ นี่นะ ถึงวาระพูดก็พูดเฉยๆ ไม่ได้พูดด้วยความที่ว่าหนักหน่วงในใจ แต่ก็จำเป็นต้องพูดอยู่นั่นแหละจะว่าไง ใครก็หาความสุขๆ เราก็บืนไปยังงั้นแหละ ไปที่ไหนทุกข์ลำบาก

ให้พากันตั้งใจใส่ ศีลใส่ธรรม ในพรรษาใครมีข้ออรรถข้อธรรม ให้เป็นสัจจะความจริงประจำใจไหมปีหนึ่งๆ เข้าพรรษามาได้กี่วันกี่เดือนแล้ว เกิดมากี่ปีแล้ว เข้าพรรษาสามเดือนจะตั้งสัจจอธิษฐานหาความสัตย์ความจริงใส่ตัวเองไม่ได้บ้าง เหรอ มันเป็นยังไงถามเจ้าของบ้างซิ ไปหาถามคนอื่นดูตั้งแต่คนอื่น ไม่ดูตัวเองมันจะรู้เรื่องอะไร เรื่องมันเกิดกับตัวเอง ไปยกโทษเขาก็เกิดกับตัวเองละเรื่อง ให้ดูตัวเองนี้มันไม่ยก พอมันปรุงขึ้นพับดับพร้อมเลยๆ ไม่มีอะไรไปปรุง ตัวข้าศึกศัตรูมันอยู่ที่ใจเรา ใจพาปรุง ถ้ารู้เท่าทันมันแล้วมันไม่เกิดละ ไปที่ไหนสบายๆ เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ จะให้พร

พิจารณาเหตุเกิดของทุกข์ (ตอนที่ ๒)


 

พิจารณาเหตุเกิดของทุกข์

น้อมกราบบูชาองค์หลวงปู่ที่เคารพเทิดทูนบูชาอย่างสูงสุด

คืน วัน เสาร์ที่ 11 มิ.ย. ลูกตั้งใจนั่งสมาธิ ๔ ชั่วโมง เพื่อบูชาองค์หลวงปู่ที่ คอยเทศน์สั่งสอนมาเป็นอุบายให้ฝึกตนผ่านทางอินเตอร์เน็ตครับ

และ คืนวันเสาร์ต่อมา ลูกตั้งจิตอธิษฐานนั่งสมาธิ ๕ ชั่วโมง ลูกเดินได้ชั่วโมง กว่า แล้วเริ่มทำวัตร และเริ่มนั่งสมาธิก่อนตีหนึ่ง พิจารณาทุกข์ที่เกิดจาก นั่ง ไล่หาต้นตอของทุกข์ตามอุบายที่องค์หลวงปู่เคยสอน  ไล่ลงไปตั้งแต่ หนัง เนื้อ กระดูก คนตายไม่เห็นมีทุกข์ แต่เราไม่ตาย ทำไมจึงทุกข์เอา นักหนา  ปวดแสบปวดร้อน เฉพาะบริเวณที่ปวด พิจารณาว่าทุกข์เกิดมาจากอะไร  จน จิตหดรวมเข้ามารู้เฉพาะหน้า คล้ายมองเห็นเป็นจุด ๆ หนึ่ง เหมือนจิตไม่เกาะ เกี่ยว ทุกข์ก็เริ่มเบา จึงพิจารณา ขันธ์ ๕ และปัจจยาการ ที่เป็นเหตุให้ เกิดทุกข์ทั้งปวง ปวดกระดูกหลังจนต้องยืดตัวขึ้น  ทุกข์ที่ปวดแสบปวดร้อนก็ เลยกระเพื่อมขึ้นมาใหม่ ได้แต่น้ำตาซึมกับทุกข์ที่เกิดนี้ ไม่ได้เสี้ยว หนึ่งของพ่อแม่ครูอาจารย์ องค์หลวงปู่มั่น และองค์หลวงปู่มหาบัว เอาองค์ ท่านมาเป็นคติตัวอย่าง ต้องฝึกต้องดัดต้องทรมานตน ทุกข์ของเรามันน้อย นิด ยิ่งอยากหายทุกข์ก็ยิ่งทุกข์ ได้เพียรตั้งหน้าสู้เป็นยก ๆ ไป  บทเรียน คราวนี้ช่างเป็นบทเรียนราคาแพง เห็นบุญเห็นคุณของพ่อแม่ครูอาจารย์องค์หลวง ปู่เต็มหัวใจ  องค์ท่านเด็ดเดี่ยวกล้าหาญชาญชัย ได้น้อมเอามาเป็นกำลังใจแก่ ตน เพื่อให้ถึงเวลาที่อธิษฐานไว้ ยิ่งตีสี่  สมองก็ยิ่งทื่อ ๆ (เพราะเริ่ม นั่งเกือบตีหนึ่ง ถึงหกโมง) เมื่อครบกำหนด จึงค่อยจับขาออกแล้วเดินจงกรมต่อ ครึ่งชั่วโมง จึงทำวัตรครับ

ลูกขอกราบเรียนถามว่า ขณะที่ จิตหดรวม เข้ามารู้เฉพาะหน้า (ลมก็ยังปรากฏอยู่) แล้วน้อมเอาสิ่งที่มองเห็นคล้ายเป็น จุด ๆ หนึ่ง ซึ่งไม่รู้คืออะไร แต่ก็น้อมมาเป็นจุดเพื่อทำลาย โดยพิจารณาสาว ถึงปัจจยาการ ไม่ทราบพอจะเป็นไปได้ไหมครับ  ลูกเข้าใจว่ากำลังของลูกยังไม่ เพียงพอ ยังต้องเพียรฝึกให้มาก ทำให้มาก   จึงกราบเรียนขออุบายจากองค์หลวง ปู่พิจารณาธรรมเพิ่มเติมครับ

จาก ลูก ...ผู้ติดกระแสเมตตาธรรมขององค์หลวงปู่ครับ
----------------------------------------------------------------------------

เรียนคุณชิน
ทีมงานต้องขอย่อเอาแต่เนื้อคำถาม เพื่อรักษาเวลาให้หลวงตา และองค์หลวงตาท่านเมตตาตอบปัญหาจิตตภาวนาให้คุณ
เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๘

หลวง ตา     :     ที่พิจารณานี่ถูกต้องแล้วนะ พิจารณาไล่ไปมันทุกข์ตรง ไหนๆๆ ทุกข์ตรงไหนไล่เข้าไปๆ มันก็มาจนตรอกที่จิตซึ่งไปหมายเข้านั่นแหละ พอ มาถึงจิตนี่แล้วอันนั้นก็ดับไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ จิตก็รู้ตัวแล้วก็แน่ว เลย พิจารณานี้ถูกต้องแล้ว ถ้าไล่เข้ามานี้จะเพื่อความสงบแหละ ถ้าไล่เรื่อง ทุกข์เรื่องอะไรมันเกิดที่หนังที่เนื้อ ที่เอ็นที่กระดูก หรือเกิดที่ตรง ไหนๆ ไล่มันเข้าไป ถ้าว่าเกิดที่หนังเนื้อเอ็นกระดูกตายแล้วเอาไปเผาไฟเขา ว่าไง เขาไม่เห็นบ่นว่าทุกข์ว่ายากลำบาก ว่าร้อนว่าหนาว เวลามีชีวิตอยู่มัน เป็นอะไร มันเป็นอะไรก็ไล่เข้ามาถึงจิต

นี่ละเรียกว่าไล่หา สัจจธรรม สัจจธรรมอยู่กับเรา ความจริง เมื่อมันเข้าใจนี่แล้วสิ่งเหล่านั้น มัน ก็ระงับของมันลงไป เข้าใจ พิจารณาอย่างนี้ถูกต้องแล้ว ให้ไล่เข้ามา มัน ทุกข์ตรงไหนไล่ เราอยากให้ทุกข์หายไม่ได้นะ มันจะเกิดมากเกิดน้อยอย่าไปอยาก ให้มันหาย มันยิ่งทวีนะ พิจารณาตามความจริง มันทุกข์ตรงไหนมาก ดูทุกข์ให้ มากด้วยสติด้วยปัญญาฟัดกันลงไปนั้น เดี๋ยวมันก็จางลงเข้าใจๆ ปั๊บๆ ทีนี้พอ เข้าใจนี้มันก็เข้าใจไปตามๆ กันหมด เพราะเป็นอาการอย่างเดียวกัน เข้าใจ เหรอ

นี่ละการพิจารณา ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้วจะได้หลัก ใคร ไล่เบี้ย เรื่องความทุกข์ทั้งหลายที่มันเกิด เกิดขึ้นมามากๆ กลัวแต่จะตายคนนั้นไม่ ได้เรื่องนะ ล้มเหลว ไม่ต้องกลัวตาย คำว่าเกิดตายมีอยู่กับทุกคนนั่น แหละ ผู้ภาวนาก็มี ผู้ไม่ภาวนาก็มี เราภาวนาเพื่อให้รู้เรื่องของมัน เรื่อง ความตายเป็นอะไร อะไรตายแน่ ไล่หามัน ทีนี้ทุกข์นั้นไล่เข้าไปหามันก็ไม่ มี หนังก็เป็นหนังธรรมดา หนังรองเท้าเห็นไหมล่ะ ใส่เหยียบขวากเหยียบ หนาม เหยียบขี้เหยียบอะไรมันก็ไม่เห็นว่าอะไร หนังว่าอยู่กับเราทำไมมันไม่ เป็นอย่างนั้นล่ะ  พิจารณาอย่างนั้นซิ

เนื้อก็เหมือน กัน เนื้อเป็ด เนื้อไก่เอามากินไม่เห็นเป็นอะไร เนื้อเราทำไมใครแตะไม่ได้ เดี๋ยวเจ็บนั้น ทุกข์นี้ กระดูก-เอ็นไล่เข้าไปให้มันเห็นทุกสัดทุกส่วน คืออันนี้มันมีสัก แต่ว่าสภาพอันหนึ่งเท่านั้น จิตเข้าไปยึดอยู่ในนั้น พอจิตเข้าใจแล้วจิตถอย ออกมาสิ่งเหล่านั้นก็เป็นความจริงของเขาอยู่ตามเดิม เข้าใจเหรอ มีเท่านั้น ละ
                                              ____________

พิจารณาทุกขเวทนา (ตอนที่ ๑)

ขณะเดินข้ามสะพาน เพื่อมุ่งสู่วัดป่าบ้านตาด
มากราบพ่อแม่ครูอาจารย์











พิจารณาเวทนา

ขอน้อมกายและใจก้มลงกราบองค์หลวงปู่ที่เคารพรักเทิดทูนบูชาอย่างสูงยิ่ง

วัน ที่ 21 พ.ค. 2548 นี้ ลูกได้มีโอกาสไปภาวนาที่วัดถ้ำสาริกา ก่อนไปลูกได้รับ อุบายธรรม ลูกเลยทดลองอดอาหารเพื่อทดสอบดู ทำให้รู้สึกว่ากายเบาจิตเบา ขณะเดินจงกรม ได้พิจารณาแยกส่วนต่าง ๆ ของร่าง กาย ไล่ลงมาตั้งแต่ศีรษะ โดยผ่าดูตั้งแต่ศีรษะ แล้วพิจารณาลงมา ถลกหนังหน้าตา ควักตา และสมองออก เป็นต้น ใคร่ครวญไป เรื่อย ๆ จนจิตเหมือนรับรู้ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นเพียงธาตุ ๔ จึงอุทานว่า โอ นี่เรามาหลงธาตุแค่นี้เองหรือ  ทันทีที่จิตรับรู้ตรง นี้  เกิดปีติซาบซ่านจากศีรษะและแขน ลงมาถึงท่ามกลางอก

ใน วันวิสาขบูชา ลูกก็ได้อธิษฐานถือเนสัชชิก ได้เพิ่มความเพียรในการเดินจงกรม เป็น ๔ ชั่วโมง  แต่นั่งสมาธิตรงหน้ารูปเหมือนหลวงปู่มั่น.. มียุง บ้าง พิจารณาทุกขเวทนาที่เกิดจากการปวดกระดูกขาและก้นด้านขวา ไล่พิจารณา ดู หนัง เนื้อ กระดูก เหมือนเพ่งจ้อง ก็ยิ่งปวด เลยเอาจิตมาจดจ่อกับพุทโธ เร็ว ๆ จนเริ่มเบาลงไม่ค่อยปวด  พอจิตคิดว่า เอาล่ะทีนี้ สบายล่ะ คงผ่านได้ ล่ะ ..ทันทีที่คิดเช่นนั้น  เกิดความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนที่ปลายเท้าข้าง ซ้าย พยายามพิจารณา ก็ยิ่งโหม ทนอยู่สักพัก เลยยกมือขึ้นจบ ขอสลับมาเป็น เดินจงกรมแทน

อยากขอความเมตตาจากองค์หลวงปู่ เพื่อขออุบายเพิ่มเติมครับ
สุดท้ายนี้ ขอให้องค์หลวงปู่มีธาตุขันธ์ที่แข็งแรงยิ่ง ๆ ขึ้นไปตลอดกาลนานเทอญ  สาธุ

จากลูก..ไม่ติดแม่ (แต่ติดหลวงปู่แทนครับ) เมื่อครั้งที่เคยกราบเรียนถามผ่านเวบ http://www.luangta.com/thamma_forum/forum_detail.php?cgiForumID=1454

------------------------ ถามเป็นคนที่ ๒ ------------------------

เรียนคุณผู้ถาม
หลวงตาเมตตาแสดงธรรมตอบปัญหาให้คุณ
เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๔๘ ณ วัดป่าบ้านตาด  ดังนี้

หลวง ตา     :     อย่าติดหลวงปู่ ให้ติดสติกับงานที่ทำ สติติดแนบ นั่นละหลวงปู่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่นั่น ให้ติดตรงนั้น มันตอบยากคนแรกว่าธรรมดาๆ ไป ไม่ทราบจะตอบอะไร มันมีจุดที่ควรจะตอบค่อยตอบ ไอ้พูดธรรมดาไป การภาวนาเอาแน่นอนได้เมื่อไร เดี๋ยวเป็นอย่างหนึ่ง คนๆ เดียวนั้นแหละ เรื่องสำคัญก็คือเรื่องของสติปัญญาให้ติดแนบอย่าถอย เรื่องความอดความทนนั้น เวลาหมุนตัวเข้าไปจริงๆ แล้วคำว่าความอดความทนมันจะวิ่งไปหาสติปัญญาที่หมุนหาเหตุหาผลมากกว่านะ ทนเฉยๆ ทนไม่ได้คนเรา อดเฉยๆ ทนเฉยๆ ทนไม่ได้นะ ต้องมีธรรมเป็นเครื่องสนับสนุนเช่นสติปัญญา
ทุกข์มากขึ้นมาๆ นี้มันทุกข์เพราะอะไร อะไรเป็นต้นเหตุ คนตายไม่มีทุกข์ นั่น มันไล่หาเหตุ เอาไปเผาไฟก็แล้ว ฝังดินก็แล้วไม่เห็นมีอะไร แต่คนเป็นอยู่นี้ทำไมเป็นทุกข์ ทุกข์นี้มีสาเหตุมาจากไหน นั่นไล่เข้าๆ นี่เรียกว่างานของจิตที่จะให้รู้เหตุผลของเวทนามีความทุกข์เป็นต้น ขอให้ใช้ความพยายามให้เต็มที่ ความหนักแน่นนี่สำคัญมากนะ ให้มีใจหนักแน่นเถอะผู้ปฏิบัติธรรม วอกแวกคลอนแคลนไม่ดี ไม่ค่อยได้หลักได้เกณฑ์ถ้าไม่มีใจหนักแน่น ค้นหาเหตุหาผล เอาจริงเอาจัง เดี๋ยวก็ได้เรื่องขึ้นมา

                                              ________

(คุณสามารถอ่านและรับชมรับฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์นี้ได้ที่
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3417&CatID=0 และอ่านได้ในเว็บไซด์หลวงตาหน้ารวมถาม-ตอบปัญหาธรรม)

อธิษฐาน - ฝันบอกเหตุ..ชี้นำ




นิมิตน่าอัศจรรย์

ความฝันที่ชอบคือ.. (เป็นความฝันที่จำไว้ในใจ ไม่ได้บันทึกไว้ตั้งแต่ฝันใหม่ๆ)ตอนที่ตั้งจิตอธิษฐานหลังไหว้พระสวดมนต์ เสร็จ.. (ประมาณปี ๔๖ หรือ ๔๗ จำไม่ได้ชัดเจน แต่คิดเอาว่าน่าจะเป็น ๒๕๔๗) ว่า

หาก ข้าพเจ้าจะได้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ในเพศฆราวาส ขอให้ได้นิมิตน่าอัศจรรย์ หรือได้ฝันเหตุเรื่องน่าอัศจรรย์ ..ได้สนทนาธรรม พอให้รู้ความหมายได้ภายใน ๓ วัน ๗ วัน

ฝันว่า ได้เข้าสู่สมรภูมิรบในคฤหาสน์อันใหญ่โต คนฆ่ากันตายหมด เหลือรอดเราผู้เดียว พอออกจากที่แห่งนั้น เงยหน้าบนฟ้า เอามือทำเหมือนว่ายน้ำ แล้วค่อยๆลอยขึ้นไปบนฟ้า จนได้ยินกระแสเสียงเทศน์องค์หลวงปู่มหาบัว แล้วลอยเข้าไปใกล้ จนลอยบนกลางอากาศอยู่ในท่าเทพพนม

พอฟังธรรมเสร็จ ก็ลงไปเห็นผู้นุ่งขาวห่มขาว ในจิตบอกว่า ชั้นดาวดึงส์ แล้วตาเหลือบไปเห็นผู้หญิงสวยงามมาก นอนอยู่ในชุดส่าหรีสีแดง มีสตรีบริวารแวดล้อม

จิตบอกว่า พระนางสิริมหามายา
ด้วยความเคารพ จึงเดิน แล้วคลานเข่าเข้าไป พร้อมก้มลงกราบ
กราบครั้งที่ ๑ พระองค์สะอื้นร่ำไห้
กราบครั้งที่ ๒ พระองค์ก็สะอึกสะอื้นร่ำไห้อีก
กราบครั้งที่ ๓ พระองค์ก็สะอื้นร่ำไห้

ได้แต่เคารพ..เกรงพระทัย ไม่กล้าแม้แต่จะกราบเรียนถามว่า พระองค์เป็นอะไรไปหรือ

ได้แต่คลานเข่าถอยออกมา แล้วลุกขึ้นยืน ในจิตบอกว่า ไม่ใช่ที่ๆ เราจะอยู่

พอแหงนขึ้นบน ปรากฏลอยฉิว..ละลิ่วไปโดยที่ไม่ต้องทำมือเหมือนทีแรก แล้วได้ยินเสียงเทศน์หลวงตา จึงตามเสียงไปอีก

นั่ง ท่าเทพพนม ลอยตัวอยู่บนอากาศ ฟังเทศน์หลวงตาเสร็จ ก็ลอยลงมา เหมือนเขาจัดให้ทำที่บังสุกุล ได้ผ้าพับเป็นไม้ วางไว้สำหรับชักบังสุกุล ในจิตก็บอกว่า ไม่ใช่ที่ๆเราจะอยู่ แล้วลอยลิ่ว

เหมือนมีใครมาเกาะที่ขา เราสลัดร่วงไป มิให้ใครไปกับเราได้

ตื่นขึ้นมา รู้แต่ว่าฝันเป็นอัศจรรย์ โดยเฉพาะเหมือนท่านมาเทศน์ให้ฟัง รู้สึกเหมือนจริงเหลือเกิน ก็บอกแต่ว่านี่ฝัน ไม่ใช่ความจริง

ได้แต่ปลื้มในใจ แล้วปฏิบัติธรรม ด้วยความมั่นใจเต็มร้อย ว่าเราจะสามารถผ่านพ้นได้..ในเพศฆราวาส

ต่อมา ฝันที่ ๒  ได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์มหาตี๋ (ศิษย์หลวงตา และเคยเรียนจบมหามกุฏด้วยกันกับตน) หลังจากสนทนาธรรมเสร็จ ก็ออกบิณฑบาต แต่ไม่ได้อาหารอะไรมา ในใจ(ขณะฝัน)คิดว่า ไม่ได้ก็ไม่ฉัน เห็นพื้นดินเปียก ยังกับว่าฝนเพิ่งหยุดตกใหม่ๆ วัดก็เหมือนอยู่บนเชิงเขา  หลวงตา(หลวงปู่มหาบัว) ก็ออกตรวจวัด  ส่วนตน ก็จะเดินลงไปที่แห่งหนึ่ง ซึ่งสูงชัน แต่จิตก็จะลงไป ไม่ได้สนใจว่าข้างล่างจะมีอันตรายใดๆหรือไม่ กลายเป็นว่า พอลงไป ได้ลื่นไถลไปกับลำไม้ไผ่ใหญ่ขนาดเท่าโคนขา พาดเฉียง ทำให้ลงสู่ข้างล่างได้อย่างปลอดภัย

ฝันที่ ๓ พาครอบครัวลงเดินลงไปจากเขา (เหมือนบ้านอยู่บนเขา) ปลีกจากพวกเขา แล้วขึ้นไปดาดฟ้าเรือ  ซึ่งมีเชือกโรยลงมา รู้แต่ว่าจะขึ้นไปข้างบน พอจับเชือกได้ กำลังจะไต่ เหมือนมีผู้คอยบอกให้ขึ้น..เป็นกำลังใจให้ขึ้นไป พอขึ้นไปได้สักหน่อย ก็ตื่นจากฝัน

ฝันทั้ง ๓ ครั้ง ยิ่งเป็นเหตุมั่นใจอย่างแน่วแน่ มีแต่ตั้งสัจจอธิษฐานในการทำความเพียร ..

นี่ก็เป็นเพียงความฝัน... แต่การปฏิบัติตนอยู่ที่เราผู้ดำเนินตามธรรมของพระบรมศาสดา..สัมมาสัมพุทธเจ้า

บทสรุป: อย่าปลงใจเชื่อ 10 ประการ (เกสปุตตสูตร)

บทสรุป: อย่าปลงใจเชื่อ 10 ประการ (เกสปุตตสูตร)

3 มกราคม 2014 เวลา 20:28 น.
อย่าปลงใจเชื่อ(อย่าได้ยึดถือ) เพราะเหตุเพียง ๑๐ ประการ ..ส่วนใจความสำคัญที่ไม่ค่อยนำมาพูดถึงกันคือ ข้อสรุปสุดท้าย มีว่า

เมื่อใดท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า
(1) ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล,
(2) ธรรมเหล่านี้มีโทษ,
(3) ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน,
(4) ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้ บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์
เมื่อนั้นท่านทั้งหลายควรละธรรมเหล่านั้นเสีย

เมื่อ ใดที่รู้ว่า ธรรมเหล่านี้เป็น (1)กุศล, (2)ไม่มีโทษ, (3)ผู้รู้สรรเสริญ, (4) ยึดถือปฏิบัติตามแล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข
เมื่อนั้นควรเข้าถึงธรรมเหล่านี้อยู่เถิด

ซึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงยกเหตุแห่งบุคคลผู้โลภ โกรธ หลง ย่อมฆ่าสัตว์, ลักทรัพย์, คบชู้, พูดเท็จ และย่อมชักชวนทำสิ่งไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นโทษ มีทุกข์ สิ้นกาลนาน ..นี้เป็นเหตุที่ควรละเสีย,

บุคคลผู้ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ ย่อมชักชวนทำสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไร้โทษ มีสุข สิ้นกาลนาน ..นี้เป็นเหตุที่ควรถือปฏิบัติตาม (ถอดใจความโดยสรุป)

ทรง ตรัสตอนท้ายแก่ชนชาวกาลามะว่า อริยสาวก ผู้ปราศจากโลภ, ไม่พยาบาท, ไม่หลง, มีสติสัมปชัญญ, มีใจประกอบด้วยเมตตา..กรุณา..มุทิตา..อุเบกขา..แผ่ไปตลอดทิศทั้ง ๔ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง แผ่ไปตลอดโลกทั่วสัตว์ทุกเหล่าในที่ทั้งปวง อันไพบูลย์ ถึงความเป็นใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนอยู่..

อริยสาวกนั้นมีจิตไม่มีเวร ..ไม่มีความเบียดเบียน ..ไม่เศร้าหมอง..มีจิตผ่องแผ้วอย่างนี้ ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการ
***ความอุ่นใจ ทั้ง ๔ ข้อคือ...
-๑ #โลกหน้ามีจริง , ผลของกรรมดี-ชั่วมีจริง. #ตายไปก็ไปสู่สุคติ
-๒ ถ้าคิดว่า #โลกหน้าไม่มี, ผลของกรรมดี-ชั่วไม่มี. #เราก็ไม่มีเวร  ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์ เป็นสุข รักษาตนอยู่ ในปัจจุบันนี้
-๓ เมื่อบุคคล(อื่น)ทำบาปอยู่ #เราไม่ได้คิดความชั่วให้แก่ใครๆ, #ความทุกข์จักถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาป..ได้อย่างไร(สำนวน "ได้อย่างไร" ภาษาบาลีเป็น กุโต แปลว่า แต่ที่ไหนเล่า)
-๔ เมื่อบุคคล(อื่น)ไม่ทำบาป เราก็ได้พิจารณาเห็น ตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วน

ความอุ่นใจ/ความวางใจ/ความเบาใจ..ข้อที่ ๔ ยอมรับตามตรงว่า ยังไม่เข้าใจ แม้ว่าจะไปค้นบาลี ก็ยังงงๆ

บาลีคือ สเจ โข ปน #กโรโต น กรียติ ปาปํ, อิธาหํ อุภเยเนว วิสุทฺธํ อตฺตานํ สมนุปสฺสามีติ อยมสฺส จตุตฺโถ อสฺสาโส อธิคโต โหติฯ

ที่ งงเพราะ #กโรโต แปลว่า เมื่อกระทำ , น กรียติ บาปํ #บาปย่อมชื่อว่าไม่กระทำ (ขัดแย้งในภาษา) ไม่เหมือนกับ ความอุ่นใจข้อที่ ๓ บาลีคือ สเจ โข ปน กโรโต กรียติ ปาปํ แปลว่า ก็แล เมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าอันบุคคลกระทำ (จะไม่ขัดแย้งในภาษา)

เลยคิดว่าน่าจะเป็น #อกโรโต แปลว่า เมื่อไม่กระทำ(ซึ่งบาป), บาปชื่อว่า #อันบุคคลย่อมไม่กระทำ)  ก็ฝากให้วิญญูชนผู้ชำนาญในภาษาพิจารณาเพิ่มเติมความคิดเห็นด้วย เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ศึกษา :)

+++อย่าปลงใจเชื่อ 10 ประการคือ

1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา

เกสปุตตสูตร http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=20&A=4930&Z=5092

http://www.youtube.com/watch?v=34-YnJYYnFE

บทความที่ได้รับความนิยม